แนวทางปฏิบัติในการป้องกันข้อมูล: ผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมาย PDPA เพิ่มเติมที่มีต่อบุคคลและธุรกิจในประเทศไทย

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง กฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act หรือ PDPA) จึงถือกำเนิดขึ้นและมีผลบังคบใช้ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 PDPA เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยของข้อมูลและปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของผู้เป็นเจ้าของข้อมูล
ผลกระทบของ PDPA ต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและธุรกิจ
PDPA ไม่ได้กำหนดเพียงมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลเท่านั้น แต่มีบทบัญญัติที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและแนวทางปฏิบัติในการจัดการข้อมูลดังกล่าวอีกด้วย
ภายใต้ PDPA เจ้าของข้อมูลมีอำนาจควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองมากขึ้น ตั้งแต่ข้อมูลขั้นพื้นฐานไปจนถึงข้อมูลละเอียดอ่อนที่สามารถระบุถึงตัวตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น บันทึกทางการแพทย์ ศาสนา และประวัติอาชญากรรม
ปัจจุบันธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีมาตรการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวดและรัดกุมยิ่งขึ้นตามคำสั่งของหน่วยงานกำกับดูแล โดยจำเป็นต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษ์อักษร (Consent Letter) จากเจ้าของข้อมูลก่อนกระทำการรวบรวม จัดเก็บ เผยแพร่ หรือกำจัดข้อมูลใด ๆ จดหมายยินยอมนี้ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและแสดงถึงความรับผิดชอบขององค์กรที่มีต่อข้อมูลเหล่านั้น
นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ต้องจัดทำนโยบายการปกป้องข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการดำเนินงานของบริษัท นโยบายเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นกรอบการทำงานเพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA โดยเน้นที่การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล การตรวจสอบ และความพร้อมในการตรวจสอบรายงานตามข้อกำหนด
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Committee หรือ PDPC) ยังกำหนดให้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (Data Protection Officer หรือ DPO) เพื่อดูแลขวบการปฎิบัติต่อข้อมูลและข้อกำหนดภายในเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล และเจ้าหน้าที่่ DPO ยังมีหน้าที่รับรองว่าธุรกิจดำเนินการประมวลผลข้อมูลตามข้อกำหนดของกฎหมาย
ตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ได้ออกประกาศเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2567 เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้กระทำการโดยหน่วยงานราชการ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับประวัติอาชญากรรม ด้านมาตรฐานการเก็บรักษาข้อมูล และการทำลายข้อมูลที่มีความอ่อนไหวภายใน 6 เดือน เพื่อเน้นย้ำถึงการพัฒนาของกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
การบังคับใช้กฎหมาย PDPA ได้สะท้อนไปถึงองค์กรต่างๆ ซึ่งนำไปสู่ความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจและโอกาสสำหรับองค์กร อย่างไรก็ตามไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการประกาศบังคับใช้กฎหมาย PDPA ได้ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในภาคส่วนต่างๆ ในการดำเนินธุกิจ เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันในทุกกระบวนการ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด
เพื่อบรรเทาความล่าช้าดังกล่าว องค์กรต่างๆ ได้ปรับขั้นตอนการยินยอมเพื่อให้ผู้สมัครได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบ ความโปร่งใสและการสื่อสารมีบทบาทสำคัญ โดยผู้สมัครจะต้องได้รับแจ้งรายละเอียดการตรวจสอบล่วงหน้าและต้องได้รับความยินยอมก่อนดำเนินการตรวจสอบประวัติด้านต่างๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาตรการเหล่านี้ ก็มีกรณีที่ผู้สมัครเพิกถอนหรือยกเลิกเงื่อนไขข้อเสนอของบริษัทในกระบวนการขอความยินยอม ทำให้จำเป็นต้องยกเลิกกระบวนการตรวจสอบ และอาจส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการดำเนินงานขององค์กร ซึ่งปัจจัยภายนอกดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมความโปร่งใสและความร่วมมือระหว่างธุรกิจและเจ้าของข้อมูล
ความไว้วางใจที่เราส่งมอบให้ลูกค้าและคู่ค้าของเรา
Integrity Thailand เราตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องข้อมูลเพื่อส่งเสริมความไว้วางใจและความซื่อสัตย์ในการดำเนินงาน เรามีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามข้อกฎหมาย PDPA เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายการปกป้องข้อมูลที่ครอบคลุม และรัดกุม นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (DPO) โดยเฉพาะ เพื่อให้คู่ค้า หรือลูกค้าของเราจึงมั่นใจได้ว่าเมื่อใช้บริการของ อินเทกริตี้ ไทยแลนด์ ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวังอย่างสูงสุด โดยเราปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในหนังสือยินยอมและแนวทางปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่กำหนดโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) อย่างเคร่งครัด






