การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในประเทศไทย

ประเทศไทยได้ก้าวไปอีกขั้นในการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส เมื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน การแก้ไขเพิ่มเติมนี้ให้ความคุ้มครองทางกฎหมายที่ชัดเจน รวมถีงการสนับสนุนทางกฎหมายและด้านการเงิน และการตอบสนองอย่างรวดเร็วภายใน 15 วัน
ประเทศไทยหวังว่าประชาชนจะเข้าร่วมต่อสู้กับการทุจริตมากขึ้น ด้วยการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของความโปร่งใส
เหตุใดการเสริมสร้างการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสจึงมีความสำคัญ
ผู้แจ้งเบาะแสมักเป็นแนวป้องกันด่านแรกในการต่อต้านการทุจริต พวกเขาเสี่ยงต่ออาชีพ ชื่อเสียง และแม้แต่ความปลอดภัยส่วนบุคคล เพื่อเปิดเผยการกระทำผิด น่าเสียดายที่ไม่นานมานี้ บุคคลหลายคนในประเทศไทยต้องเผชิญกับการตอบโต้อย่างรุนแรงหลังจากได้ออกมาพูดเปิดเผย
จุดอ่อนสำคัญประการหนึ่งของกฎหมายฉบับก่อนๆ คือการขาดความคุ้มครองที่บังคับใช้ได้ ผู้ที่แจ้งเบาะแสการทุจริตอาจยังคงต้องเผชิญกับการฟ้องร้อง การดำเนินการทางวินัย หรือข้อกล่าวหาทางอาญา ซึ่งสร้างผลกระทบที่น่าหวาดหวั่น หลายคนเลือกที่จะนิ่งเฉยแทนที่จะเสี่ยงต่อการดำรงชีพ
กรณีของ ดร.ชุติมา นักรณรงค์ต่อต้านการทุจริต ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง เธอเปิดเผยถึงการใช้เงินทุนสินเชื่อรายย่อยโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2567 เธอถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาททางอาญา ต่อมาในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2567 ศาลได้ตัดสินให้เธอพ้นผิด คำพิพากษายกฟ้องคดีนี้โดยระบุว่าเป็นคดีปิดปาก (SLAPP) หรือคดีความเชิงยุทธศาสตร์เพื่อขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชน คดีนี้เน้นย้ำถึงช่องโหว่ของผู้แจ้งเบาะแสภายใต้กฎหมายฉบับเดิม
การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2568 ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำเสนอโครงสร้างที่ชัดเจนซึ่งไม่เพียงแต่ปกป้องผู้แจ้งเบาะแสเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือการทำให้การแจ้งเบาะแสมีความปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบัน ผู้ใดที่รายงานโดยสุจริตต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่รับผิดชอบคดีทุจริต จะได้รับความคุ้มครองจากผลทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย กฎหมายนี้ยังมีผลย้อนหลังกับบุคคลที่ให้ข้อมูลก่อนมีผลบังคับใช้ ตราบใดที่คดีของพวกเขายังคงดำเนินอยู่
มีอะไรใหม่ในกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต?
การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2568 ได้นำเสนอการปรับปรุงที่สำคัญหลายประการ:
- ความคุ้มกันทางกฎหมาย มาตรา 132 ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ความคุ้มกันแก่ผู้แจ้งเบาะแสที่กระทำโดยสุจริต พวกเขาได้รับความคุ้มครองจากการลงโทษทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย
- กระบวนการคุ้มครองที่รวดเร็ว หากผู้แจ้งเบาะแสถูกแก้แค้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องประเมินคดีและตัดสินใจเกี่ยวกับการคุ้มครองภายใน 15 วัน
- ความช่วยเหลือที่ครอบคลุม ปัจจุบัน ป.ป.ช. สามารถให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ชำระค่าธรรมเนียมศาล ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย และแม้กระทั่งช่วยเหลือในการประกันตัวหากจำเป็น
- การคุ้มครองย้อนหลัง กฎหมายนี้บังคับใช้กับผู้แจ้งเบาะแสที่รายงานการประพฤติมิชอบก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตราบใดที่คดีความของพวกเขายังคงดำเนินอยู่
- การใช้กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กองทุนนี้สามารถครอบคลุมบริการสนับสนุนทั้งหมด รวมถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายและการเงิน
ผลกระทบต่อความพยายามในการปราบปรามการทุจริตของประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายในปี 2568 อาจเป็นจุดเปลี่ยนในการต่อสู้กับการทุจริตของประเทศไทย กฎหมายนี้ให้การคุ้มครองที่เข้มแข็ง ส่งเสริมให้ประชาชนจำนวนมากขึ้นแจ้งความประพฤติมิชอบโดยปราศจากความกลัว เมื่อบุคคลภายในออกมาเปิดเผยตัว เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ผู้แจ้งเบาะแสคือพันธมิตร ไม่ใช่ศัตรู เมื่อพวกเขาได้รับการคุ้มครอง การทุจริตก็จะมีที่ซ่อนน้อยลง
ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจะมีความระมัดระวังมากขึ้นในการจัดการกับการประพฤติมิชอบ ความเป็นไปได้ที่การรายงานจากภายในจะกลายเป็นคดีสาธารณะนั้น จะยิ่งทวีพลังแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพนักงานรู้และมีความมั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัยและได้รับการสนับสนุน
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่นี้ หลายองค์กรกำลังนำระบบการแจ้งเบาะแสที่มีการรักษาความลับ การสนับสนุนหลายภาษา และช่องทางการรายงานที่หลากหลายมาใช้ หนึ่งในโซลูชันดังกล่าวคือ Canary Whistleblowing System ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและปรับแต่งได้ ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ จัดการรายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรับประกันการรักษาความลับของผู้แจ้งเบาะแสและการปฏิบัติตามกฎระเบียบท้องถิ่น ระบบนี้ช่วยให้สามารถจัดการคดีได้อย่างปลอดภัย ตรวจสอบแบบเรียลไทม์ และบูรณาการกับกรอบการกำกับดูแล ความเสี่ยง และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (GRC) ได้อย่างราบรื่น การนำระบบอย่าง Canary มาใช้ ไม่เพียงแต่ช่วยสนับสนุนการจัดการทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับการบริหารความรับผิดชอบภายในและช่วยลดความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ชื่อเสียงขององค์กรอีกด้วย
ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่วัฒนธรรมแห่งความโปร่งใสในองค์กร ธุรกิจต่างๆ สามารถบริหารจัดการระบบการควบคุมภายในที่แข็งแกร่ง หน่วยงานภาครัฐสามารถยกระดับกรอบความรับผิดชอบของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถช่วยลดการทุจริตในระดับชาติได้






