เปิดโปงการทุจริต: การต่อสู้เพื่อความโปร่งใส

ดัชนีการรับรู้เรื่องการทุจริตในองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติประจำปี 2565 จัดอันดับประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 101 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเปิดเผยให้เห็นถึงสัญญาณของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้กับการทุจริต
ในขณะที่ประเทศไทยพยายามล้างระบบทุจริต คดีที่โด่งดังสองคดีล่าสุดซึ่งดึงดูดความสนใจของคนประเทศ และได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาการทุจริตนี้ คือคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับ Thailand Waterfront Suits and Residences และการทุจริตของกลุ่มเจ้าหน้าที่ในอุทยานแห่งชาติของประเทศ
รัฐบาลไทยได้ขยายขอบเขตกฎระเบียบควบคุมและต่อต้านการคอร์รัปชั่นอย่างแข็งขันเพื่อสนองตอบต่อคดีทุจริตที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ความพยายามในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นนี้ขยายความครอบคลุมไปมากกว่าเฉพาะภาครัฐ ซึ่งขณะนี้ภาคเอกชนได้มีการสนองตอบอย่างแข็งขันด้วยเช่นกัน โดยบริษัทที่ถูกพบว่ามีการละเมิดกฎระเบียบเหล่านี้ต้องรับการลงโทษในความผิดทางอาญาและเสียค่าปรับเป็นเงินจำนวนมาก
กรอบกฎหมาย: กฎระเบียบต่อต้านการทุจริตในประเทศไทย
การต่อสู้กับการทุจริตในประเทศไทยนั้นมีกรอบกฎหมายที่สำคัญซึ่งถูกกำหนดโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับใหม่” กฎหมายนี้มีผลใช้แทนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตปี 1999 (“OACC ฉบับเก่า”) และมีการแก้ไขเพิ่มเติม
ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับใหม่นี้ มีการเปลี่ยนแปลงและขยายความครอบคลุมมากขึ้น โดยมีการกำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องรับผิดชอบในฐานะนิติบุคคล ในอันที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรการมีส่วนร่วมกับการติดสินบนหากพบการกระทำผิด ซึ่งมีการขยายความครอบคลุมรวมความผิดที่เกี่ยวเนื่องถึงพนักงาน หุ้นส่วนกิจการร่วมค้า และบริษัทคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเหล่านั้นด้วย
นอกจากนี้ การแก้ไขที่สำคัญภายในพระราชบัญญัติต่อต้านการทุจริตฉบับใหม่ยังขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงนิติบุคคลต่างประเทศด้วย_ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าบริษัทต่างชาติที่ดำเนินการในประเทศไทยจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎระเบียบการต่อต้านการทุจริตนี้
องค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของความพยายามในการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทยคือพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะหรือที่เรียกว่ากฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างทั่วไป ซึ่งได้ตระหนักถึงความอ่อนไหวของการจัดซื้อจัดจ้างโดยภาครัฐต่อการทุจริตและการติดสินบน กฎหมายนี้จึงกำหนดกฎเกณฑ์เฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง
เช่นเดียวกับมาตรการควบคุมการต่อต้านการทุจริตภายในพระราชบัญญัติต่อต้านการทุจริตฉบับใหม่ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะบังคับใช้ข้อกำหนดเบื้องต้นโดยกำหนดให้ธุรกิจที่เข้าร่วมในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสำหรับโครงการที่มีมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท (ประมาณ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ) จำเป็นจะต้องจัดทำนโยบายต่อต้านการทุจริตและดำเนินมาตรการควบคุมการต่อต้านการทุจริตภายใน
บทบาทของมาตรการควบคุมการต่อต้านการคอร์รัปชั่นภายใน
มาตรการควบคุมการต่อต้านการทุจริตภายในถือเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องธุรกิจ, เจ้าหน้าที่, และบุคคลที่เกี่ยวข้องจากผลกระทบที่สร้างความเสียหายจากการทุจริตและคดีติดสินบนโดยถึงแม้ว่ากฎระเบียบเหล่านี้มิได้กำหนดมาตรการควบคุมไว้อย่างชัดเจน แต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (NAAC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้ออกแนวปฏิบัติโดยสรุปองค์ประกอบพื้นฐานไว้ 8 ประการ
องค์ประกอบพื้นฐานประการหนึ่งที่สำคัญคือกลไกการสื่อสารที่ส่งเสริมการรายงานข้อกล่าวหาเรื่องการติดสินบนซึ่งระบบการแจ้งเบาะแสได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในการตรวจจับการทุจริตและการฉ้อโกงตั้งแต่เนิ่นๆได้
การแจ้งเบาะแสเพื่อความโปร่งใส
จากการสำรวจในปี 2563 พบว่า 33% ของบริษัทไทยได้รับผลกระทบจากการฉ้อโกง การทุจริตหรืออาชญากรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆในช่วงสองปีที่ผ่านมาโดยเกือบหนึ่งในสามของอาชญากรรมเหล่านี้ถูกเปิดเผยผ่านรายงานที่ส่งโดยบุคคลไม่ว่าจะผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ (20%) หรือสายด่วนแจ้งเบาะแสอย่างเป็นทางการ (10%)
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่องค์กรจำนวนมากให้ความสำคัญกับช่องทางการรายงานการแจ้งเบาะแสการทุจริตที่มีความโปร่งใสปลอดภัยยังไม่มากเท่าที่ควร_ซึ่งองค์กรต่างๆควรที่จะได้มีการเสนอช่องทางการแจ้งเบาะแสทุจริตที่โปร่งใส ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงได้ง่าย แทนการสอดแทรกช่องทางการรายงานเข้าไปในเว็บไซต์หรือผ่านเอกสารนโยบายที่ไม่ชัดเจน ทำให้ยากต่อการค้นหาของสาธารณชน
นอกจากนี้ องค์กรบางแห่งต้องการรายละเอียดส่วนบุคคลของผู้แจ้งเบาะแส เช่น ชื่อนามสกุลเต็ม หรือที่อยู่อีเมลโดยละเลยที่จะมอบทางเลือกที่จำเป็นสำหรับการรักษาความลับและการไม่เปิดเผยตัวตนแก่ผู้แจ้งเบาะแส
สืบเนื่องจากหลักยึดถือตามแนวทางปฏิบัติของ ISO 37002:2021 เกี่ยวกับระบบการจัดการการแจ้งเบาะแสการทุจริตนั้นได้มีการแนะนำให้องค์กรต่างๆ มอบช่องทางในการแจ้งเบาะแสการทุจริตซึ่งดำเนินการโดยบุคคลที่สามที่มีความเป็นอิสระ
การปฏิบัติตามแนวทางนี้ไม่เพียงทำให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยของรายงานเท่านั้นแต่ยังเพิ่มความมั่นใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเพิ่มความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของกระบวนการรายงานอีกด้วย
เนื่องจากมีการตรวจสอบรัดกุมการปฏิบัติตามกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ดีให้มีระดับความเข้มข้นมากขึ้น_การใช้ระบบการแจ้งเบาะแสการทุจริตซึ่งดำเนินการโดยบุคคลที่สามที่มีความเป็นอิสระเช่น_Canary Whistleblowing System จึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับบริษัทต่างๆ
การนำระบบการรายงานการแจ้งเบาะแสทุจริตซึ่งดำเนินการโดยบุคคลที่สามที่มีความเป็นอิสระนี้มาใช้_จะช่วยทำให้ธุรกิจของท่านได้รับการยอมรับในการปฏิบัติตามหลักการแห่งความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจซึ่ง Canary Whistleblowing System เป็นแพลตฟอร์มการแจ้งเบาะแสการทุจริตซึ่งดำเนินการโดยบุคคลที่สามที่มีความเป็นอิสระ ปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับบุคคลในการแจ้งรายงานข้อกังวลของพวกเขา ซึ่งกลไกนี้มีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่สะอาดและโปร่งใสมากขึ้น






